ของฝากจากฝรั่งเศส Photos Panoramas Postcards Guestbook
ท่องเที่ยวฝรั่งเศส หน้า 1 : รู้จักฝรั่งเศส | 2 : สวัสดีสตาร์สบูร์ก| 3 : เรื่องเล่าจากครอบครัวมด | 4 : ความประทับใจ
 
อ่านบันทึกเล่าสู่กันฟัง
เยอรมัน
ฝรั่งเศส
ลักซ์เซมเบิร์ก

<NEW!> เนเธอแลนด
เบลเยี่ยม


 





พระอาทิตย์เต้นรำ...เริงระบำกับสายลม...ที่สตราร์สบูร์ก


วันนี้้ตื่นสายๆ...เพราะไม่ต้องนั่งรถเดินทางไปไหน กินขนมตอนเช้าเพิ่มพลังกันเรียบร้อยแล้ว
ก็ออกเดินทางเข้าตัวเมือง (ใช้ตั๋ววัน ใบละ 3 ยูโร)


• • เริ่มต้นด้วยเช้าวันใหม่ด้วย อากาศดี มีแดดสดใส แต่ทำไมลมถึงได้เริงร่า ขนาดนี้นะ... หนาวแฮะ

นั่งรถจากที่พักไม่นาน ก็มาถึงตัวเมือง จุดแรกคือ Place de l'homme
ทันสมัยและดูแปลกตา เป็นจุดรวมของบรรดารถทรัม (Tramway)
ทั้งสี่สาย A B C D มาเจอกัน รถทรัมที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน
ทันสมัยและสวยทีเดียว

จากนั้นเดินเข้ามาที่ Place Kleber ดูตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม ดูคนสตราร์สบูร์กจับจ่ายซื้อของ
ลานนี้เต็มไปด้วย ตลาดดอกไม้ และเอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ ในวันหยุด คนเยอะแยะไปหมด คึกคักน่าดู


ก่อนที่จะไปดูมหาวิหารสตราร์สบูร์กอันเลื่องชื่อ เดินผ่าน La Maison Kammerzell บ้านที่สวยที่สุดของเมืองนี้
สร้างโดย นาย Martin Braun พ่อค้าขายชีส ในศตวรรษที่ 16 และต่อมาได้เปลี่ยนเจ้าของเป็น
นาย Philippe Kammerzell พ่อค้าผู้ร่ำรวย กลางศตวรรษที่ 19 ตอนนี้บ้านหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหารแต่ก็ยัง
บำรุงรักษาตัวบ้านได้อย่างดีเยี่ยม


ข้างหน้าก่อนถึงมหาวิหาร มีหนูน้อยหน้าตาน่ารักนั่งนิ่ง ให้ศิลปินบรรจง
เขียนภาพลงบนแผ่นเฟรม พวกเราหยุดยืน ดูอยู่ครู่หนึ่ง อดยิ้มกว้างๆไม่ได้
กับความอดทนของหนูน้อยนางแบบ ที่ตั้งใจทำตัวแข็งนิ่ง เพื่อที่จะให้
ภาพของตน ออกมาดีที่สุด (สำหรับราคาก็ 30 ยูโรแบบเร็วๆ และ 20 ยูโร
แบบไม่เร่งรีบ)



[เลื่อนเมาส์ไปบนรูปเพื่อดูชื่อสถานที่ อ่านประกอบกับเรื่องเล่า...จะไปเที่ยวได้สนุกขึ้นจ้ะ
ส่วนรูปทั้งหมดดูได้ที่เมนู Photos ข้างบนจ๊ะ มีทั้งวิวสวยๆ ทั้งวิวทั้งคน สนใจก็คลิกเข้าไปได้เลย]


• • ส่งยิ้มให้หนูน้อยได้ไม่นาน ก็เดินมาเข้า
ถนนแคบๆ ถึงด้านหน้าของมหาวิหาร
(La Cathedrale de Strasbourg)

ยอดมหาวิหารสูงมากจนพวกเราต้องแหงนหน้า
มองจนคอเกือบเคล็ด สมคำเล่าลือที่ว่า
เป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตกจริงๆ


จุดนี้เราโอ้เอ้็ถ่ายภาพไปไม่น้อย
ใช้เวลาไปกับ
ความพยายามถ่ายภาพให้ครบทั้งตัวอาคารและยอด
ก็ทำไม่่ได้ซักที เลยเปลี่ยนใจ...

ไปชื่นชมลวดลายแกะสลักที่อื่นๆกันต่อ
• •

Place des hommes Place Kleber
Place Kleber
หน้ามหาวิหารสตราร์สบูร์ก La Maison Kammerzell
  • •  • •  

มหาวิหารสตราร์สบูร์ก (11th to 15th Century) เป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในยุโรปตะวันตก
จริงๆแล้ว เป้าหมายในการสร้างมหาวิหาร ต้องการสร้างยอดมหาวิหารสองข้าง แต่เนื่องจากในครั้งแรก
สร้างแล้วตัวโบสถ์ใหญ่นี้ เกิดทรุด จึงต้องระงับการสร้างอีกยอดไป เป็นเอกลักษณ์จนถึงทุกวันนี้

เพลิดเพลินไปกับวิวรอบตัว เมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก็เที่ยงพอดี โชคดีสำหรับการเที่ยวครั้งนี้ เพราะเวลา
12.30 น. ของทุกวันจะมี "การบอกรอบเวลาแบบพิเศษ" ของนาฬิกา Astronomical Clock - L'Horloge Astronomique ภายในมหาวิหารที่ประดิษฐ์ขึ้นในปี 1547 โดยช่างมีฝีมือชาวสวิสที่ผสมผสานระหว่างศิลปิน
ผู้ออกแบบ นักคณิตศาสตร์ และนายช่างเครื่องจักร และไม่ได้ใช้งาน จนกระทั่งนาย Jean-Baptiste Schwilgue
ได้ซ่อมแซมและใช้ใหม่ เมื่อประมาณปี 1840

ความพิเศษที่ว่านี้ คือ เวลา 12.30 น. จะมีการบอกเวลาที่นานกว่าปกติ ด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องจักรกล
ที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้าและมอเตอร์ใดๆ มีแต่กลไกด้านฟันเฟืองและกลจักร ที่ออกแบบในอดีตได้อย่างน่ายกย่อง
ความคิดความสามารถของนายช่างจริงๆ
 


มหาวิหารสตราร์สบูร์กสูงจริงๆ รูปปั้นแกะสลักที่ประตูงามวิจิตร
เงยจนเมื่อยคอเลยเนี่ยะ เดินไปทางข้าง เพื่อเข้าคิวซื้อตั๋วชมนาฬิกา
Astronomical Clock
• • พวกเราเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วเข้าไป ในราคานักเรียน
คนละ 0.60 ยูโร ส่วนราคาปกติคนละ 0.80 ยูโร

คนเริ่มมาเรื่อยๆเหมือนกัน จาก 3 เป็น 6...
จาก 6 เป็น 12... จาก 12 เป็น ?... เพราะไม่ได้ยืนนับต่อ
ขืนมัวนับอยู่คง ไม่มีที่ยืนข้างในเป็นแน่ :)

เมื่อเข้ามาข้างในเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้คน
ต่างรอชม พวกเราเลยต้องแทรกตัวเข้าไปด้านหลังกลุ่ม
ด้วยเสียงที่เงียบที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่รบกวนคนอื่นๆ

ตอนนี้ทุกคนต่างมายืนหน้านาฬิกาเพื่อฟังบรรยายที่มีทั้ง
ถึงประวัติความเป็นมาและการทำงานของนาฬิกา

ตอนนี้ 12.15 น. ทุกๆ 15 นาที จะมี
รูปมนุษย์
ในช่วงชีิวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา
ออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก
ขณะเดียวกัน ชั้นบนก็ จะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์
ออกมาเดินแค่ 1 คน
• • 

• • • •  

นาฬิกา Astronomical Clock - L'Horloge Astronomique

ถึงช่วงนี้เที่ยงครึ่งแล้ว... ถึงการบอกเวลาแบบพิเศษ ล่ะ

ครั้งนี้จะมีผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั้ง 12 คนออกมาเดินพาเหรด ผ่านหน้าพระเยซู ทิ้งระยะแป๊บนึงวนเวียนไป สลับกับเสียงไก่ขัน และเสียงระฆังประมาณ 3 ครั้ง


ขณะเดียวกัน...

ชั้นต่ำลงมา รูปมนุษย์ในช่วงชีิวิตตั้งแต่ เด็ก ผู้ใหญ่ และคนชรา ออกมาตีกระดิ่งที่ตั้งอยู่หน้าโครงกระดูก

ตลอดเวลานั้น เป็นภาพที่มหัศจรรย์และเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
ความเงียบทำให้ได้ยิน
เสียงก้องกังวาน
ไปทั่วทั้งโบสถ์และบริเวณใกล้ๆ ทำให้ประทับใจในความอัศรรย์และภูมิปัญญาในการสร้างนาฬิกานี้มา

ส่วนอื่นๆของนาฬิกา ก็มี ชั้นที่แสดงถึง พระจันทร์, 12 จักรราศี, นาฬิกา และหมู่ดาวเคราะห์


• • 

หลังจากนั้น พวกเราเดินไปชมจุดอื่นๆภายใน
มหาวิหาร ภายในห้องโถงใหญ่นี้ สร้างเป็นรูปเรือลำ
ใหญ่ (The navf - La nef) หมายถึง
การเดินทางของชีวิต นั่นเอง

และโรสวินโดวส์ กระจกสีรูปวงกลมใหญ่
ี่หมายถึงโลกและพระอาทิตย์ ประดับด้วยกระจกสีรุ้ง
กรองแสงที่จะส่ิองเข้ามาใหู้ดูสลัว
แต่สดใส และมีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์
• • 




ห้องโถงรูปเรือใหญ่ กระจกสี
โรสวินโดวส์ เทียนในโบสถ์ ดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์
เลือกซื้อโปสการ์ดที่ระลึก ก่อนกลับ แวะถ่ายรูปอีกภาพนะ
 

• • • • 

วู้ วิ้ว วิ๋ว.... วู่ ... เสียงลมพัด หนาวมาก หัวก็ฟู...

ออกมาจากมหาวิหารก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ออกมาเลือกโปสการ์ดกันมั่ง มีเยอะไปหมด แต่ก็ใช้เวลาไม่นานมาก
เพราะลมดีเกลือเกินที่นี่ แถมยังเป็นลมหนาวซะด้วย คว้าได้ภาพมหาวิหารมุมเต็มๆ และบ้านอัลซาสติดมือมา
จ่ายตังค์ 2 ยูโร (ค่าหลบลม) พร้อมกับส่งยิ้ม แล้วบอกว่า "ไม่ต้องทอน" ก่อนที่จะรีบออกมา เพราะกลัวเค้ารู้ว่ามั่วนิ่ม
ฮิ...ฮิ ได้โปสการ์ดใส่กระเป๋าสะพายมาสี่ห้าใบ ท้องชักหิวแล้วล่ะ จะไปกินมื้อเที่ยงที่ไหนดี...

มาที่นี่ทั้งที อาหารประจำแคว้นอัลซาส ชื่อ Choucroute ทำด้วยกะหล่ำปลีฝอยๆ
ออกรสเปรี้ยวๆ กับไส้กรอก เนื้อหรือเบคอน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...
ในที่สุดเราเปลี่ยนไปกินไก่ Kehl มาทั้งทีก็ไปกินไก่ที่เยอรมันดีกว่า ฮา...ฮา
ส่วน Choucroute ค่อยกลับไปกินที่ Grenoble ก็ได้ จากนั้น 15 นาทีผ่านไปก็มาถึงร้านไก่ (Kehl)

ร้านนี้ที่จริงแล้วมีชื่อว่า Kochloffel บรรยากาศในร้านทั่วไปเหมือน KFC หรือ McDonald แต่แตกต่างตรง
ชุดพนักงาน เอ๊ย! เมนูอาหาร... แทนที่เคาน์เตอร์ด้านหลังพนักงาน จะเป็นชั้นๆที่เต็มไปด้วย แฮมเบอร์เกอร์ หรือ ปีกไก่ ขาไก่ชุปแป้งทอดตำหรับ KFC แต่้ที่ร้านนี้เป็นไก่ทั้งตัวหมุนๆ เรียงกัน ส่งกลิ่นหอมน่ากิน แถมยังมี
ีไส้กรอกเยอรมัน หลากแบบ

"ไก่ครึ่งตัว สามจาน... ไส้กรอกขาว สองชิ้น... โค้ก สามแก้ว" พวกเราสั่งไปพร้อมส่งยิ้มทำนัยน์ตาชวนฝัน
"เรียบร้อยค่ะ" พนักงานตอบรับ พร้อมส่งให้

ข้อดีที่ว่า พนักงานร้านนี้พูดภาษาฝรั่งเศสได้ พวกเราเลยไม่ต้อง
ใช้ภาษาเยอรมันให้ยุ่งยาก
จริงๆแล้ว ถ้าเกิดต้องใช้ ก็คงมีแต่คำว่า danke (ดังเค่อะ) ที่แปลว่า ขอบคุณ ล่ะ ฮิๆ

เราสั่งไก่คนละครึ่งตัวตามสูตรของคนที่มากินที่นี่ แถมยังได้ชิ้นใหญ่ซะด้วย เทคนิคพูดเสียงเพราะ
ทำตาหวานตะกี้ได้ผล... ไก่หอมๆ รสชาติเข้มข้น เนื้อนุ่ม และแถมยังมี ไส้กรอกขาว
สูตรเยอรมันเจ้าตำรับไส้กรอกอร่อยอยู่แล้ว อย่างนี้ต้องสั่งมาชิมให้รู้ไปเลย ไส้กรอกขาวอบแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ
ราดซอสมะเขือเทศ ที่ยิ่งเพิ่มรสชาติไปกว่านั้น คือ โรยด้วยผงกระหรี่ ทำให้หอมอร่อยยิ่งขึ้น... ไม่ผิดหวังจริงๆ ;)

หลังจากมื้อเที่ยงนี้ ทุกคนอิ่มจัดจากไก่แสนอร่อยและหนังตาเริ่มหย่อน ก็เลยไปเดินเล่นที่้ร้านขนมข้างๆ
น้องเกดบอกมาว่าถูกดี ในร้านนี้ขนมและข้าวของเครื่องใช้แต่ละอย่าง เราไม่สามารถออกเสียงได้ถูกต้องเลย
เพราะเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด แต่ยังไงก็ได้ติดมือมาสองสามอย่าง แฮ่ะๆ

20 นาทีผ่านไป... กลับมาเดินย่ิอยกันต่อ...ในตัวเมืองสตราร์สบูร์ก

 
โบสถ์ที่เมือง Kehl
ไก่ที่ร้าน Kochloffel อร่อยจริงๆ บ้านริมน้ำ สดชื่นดี Maison des tanneurs
เอ้า ยิ้ม ยิ้ม แช๊ะ เรือนี่ออกแบบมา ขนาดเท่าคลองเลยนะ บ้านเอกลักษณ์ สไตล์อัลซาส
  พวกเราเดินระเรื่อยเข้าไปในตัวเมือง ยังย่าน
La Petite France, Quartier des pecheurs,
Des meuniers et des tanneurs


เพียงเห็นบ้านเรือนสไตล์อัลซาส
ก็หลงรักเข้าเต็มเปา ที่จริงก็เคยเห็น บ้านสไตล์นี้มาก่อน
ตามโปสการ์ด เมื่อมาเห็นจริงๆกับตา แล้วยิ่งประทับใจ

พวกเราใช้เวลาหมดไปกับการมองสายน้ำ บ้านเรือน ผู้คน
นกเป็ดน้ำ และดอกไม้ผลิบานของฤดูใบไม้ผลิ
ช่างให้ความรู้สึกดีและแสดงถึงกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน...

เพลิดเพลินกับการปล่อยน้ำ กักน้ำ และกัปตันที่ขับเรือ
นำเที่ยวเลี้ยวเรือที่ออกแบบมาให้กว้างพอดีกับคลอง
คนในเรือก็มองเรา เราก็มองคนในเรือ เพลินไปอีก
แบบแฮะ...ฮ่าๆๆ
 
 

ก่อนอ่านต่อไปนี้ ให้นึกภาพเป็นสีขาวดำ หรือ ซีเปียนะจ้ะ เพราะระลึกถึงความหลัง...

เมืองแถบนี้ เคยตกเป็นดินแดนของเยอรมัน ดังนั้นจึง รับเอาวัฒนธรรมแบบเยอรมันไปเยอะ เช่น บ้าน
Fachwerkhaus (เป็นภาษาเยอรมัน) มีลักษณะพิเศษ คือ ขึ้นโครงด้วยไม้ ไม่มีตะปูตอก ระหว่างช่องของไม้
วางด้วยอิฐโบกปูน ทาสีสวยงาม ของแท้ๆ ชั้นที่อยู่ด้านบนจะ ยื่นออกมามากกว่าชั้นล่าง


      

La Petite France หรือ Little France (ในศตวรรษที่ 16) เนื่องจากเมืองนี้เมื่อก่อนเป็นของเยอรมัน
แถบนี้เป็นโรงพยาบาล ที่ิรักษาคนเป็นโรคซิฟิลิส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารที่กลับมาจากสงครามในประเทศอิตาลี
ชาวอัลซาสแถบนี้ ซึ่งไม่พอใจฝรั่งเศส ที่ปล่อยให้โรคนี้แพร่ขยายไป จึงตั้งชื่อแถบนี้ว่า "Zum Franzosel"
(ภาษาเยอรมัน) หรือในภาษาฝรั่งเศสว่า "Petite France"

เปลี่ยนมุมไปที่ใกล้ๆกันมั่ง เดินจาก La petite France ไม่นาน ก็มาถึงตึกรูปทรงสี่เหลี่ยม 4 ตึกเรียงกันริมน้ำ

ขึ้นไปบนจุดชมวิวของเมืองนี้กันดีกว่า...

  Le Barrage Vauban (Grande Ecluse)
จากรูปที่เห็นคนยืนกันตัวเล็กๆสีเข้มๆนั่นล่ะ
ใต้นั้นเป็นคุกเก่า...
เมื่อยืนบนนี้สามารถมองเห็นตัวเมืองได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น มหาวิหาร หรือ ลาเปอติ๊ตฟร๊องซ์
หรือโบสถ์อื่นๆ

ส่วนวิวข้างหน้าจะจะ เมื่อยืนบน
Le Barrage Vauban คือ
les Ponts Couverts
(Pont = สะพาน อ่านว่า ปง) สะพานด้านหลังของ
นายแบบ นั่นล่ะจ้ะ ที่คู่กะตึก 4 ตึกนั้นเป็น
ป้อมปราการในสมัยโบราณ

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมวันนี้ทรงผมของนายแบบจึงดู
ูแปลกเป็นพิเศษ ก็อย่างที่บอกกันว่า ลมที่นี่แรงมาก
ยิ่งขึ้นมาบนนี้ ซึ่งเป็นลานกว้างสำหรับมองชมวิว
แม่น้ำ สะพานด้านหน้า ลมจึงแรงมากขึ้น
แต่ขอบอกว่า วิวบนนี้สวยมาก ทอดสายตา
มองออกไปเห็นเป็นมุมกว้าง นกกางปีกโบยบินอิสระ
ถึงแม้้่ผม จะเสียทรงไปนิด แต่ก็คุ้ม
 

Quartier des pecheurs
les Ponts Couverts Le Barrage Vauban
นายแบบกับ les Ponts Couverts นั่งเรือเที่ยวชมเมืองบนน้ำ ลมพัดเย็นๆ ไม่เมื่อยอีกด้วย
  • •  • •  

ซึมซับบรรยากาศบนนี้อยู่ครู่ใหญ่ จนแววเคลิ้มฝันปรากฎทั่วไปบนใบหน้า ลมดีเหลือเกิน...
ถ้าอยากดูภาพพานอรามาจากมุมนี้เต็มๆ ก็แวะไปที่ เมนู Panorama ข้างบนนะจ๊ะ สวยจริงๆ...นายแบบรับประกันมา
 
ตึกอะไรไม่รู้สวยดี คงจะเป็นสถานที่ราชการ Bibliotheque nationale
ตรงข้ามโบสถ์ St. Paul ยามเย็นแบบนี้
St. Paul Church The European Parliament and the European Council ข้างๆ The European Parliament and the European Council ข้างหน้า

 

จากนั้นเรานั่งรถออกไปจากตัวเมืองอีกนิด ผ่านห้องสมุด
แห่งชาติ
(Bibliotheque nationale
et universitaire)
ท่าทางจะมีหนังสือเยอะทีเดียว
นะเนี่ย สร้างได้ใหญ่โตและสวยงามมาก บรรยากาศ
ยามเย็นแบบนี้ ท้องฟ้าสีสวย แปลกตาไปอีกแบบ

ต่อมาก็ถึง St. Paul Church (ค.ศ. 1031) ศิลปะแบบ
โกธิคงดงามมาก อีกโบสถ์นึง แดดอ่อนๆกระทบตัวโบสถ์
ริมแม่น้ำยามเย็นอย่างนี้ เลยเก็บภาพมาฝากกัน
อีกเช่นเคย  

    

มาถึงย่าน Orangerie กันแล้ว... เนื่องจาก สตราร์สบูร์กตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นศูนย์กลางของยุโรปตอนเหนือ
หลายประเทศ จึงเป็นที่ตั้งของ
The European Parliament and the European Council -Parlement
Europeen
สำหรับเป็นที่ประชุมของสมาชิกยุโรป โดยสถาปัตยกรรมสร้างเป็นรูปเรือใหญ่ริมน้ำ

เที่ยวในฤดูใบไม้ผลิอย่างนี้ ก็ดีแฮะ เดินจนเมื่อยก็ยังไม่มืดซะที กว่าจะมืดปาไป 3 ทุ่มครึ่ง นี่เดินมาทั้งวันแล้ว
เท้าทั้งสองข้างเริ่มประท้วง ท้องก็ชัักหิว
ต้องไปหาอะไรรองท้องซะแ้ล้ว ประทับใจมากกับสตราร์สบูร์กและ
ลืมไม่ได้เลยกับไกด์ใจดีน่ารัก...น้องเกด น้องปอง และน้องเอม

Strasbourg, La ville extraordinaire!. C'etait un sejour tres agreable.
Merci de me faire revivre avec ces photos les moments les plus beaux de mon voyage.
Un grand merci pour vos gentillesses, vos chaleureux accueils....Kate, Aim and Pong.

Au revoir... Strasbourg. A la prochaine fois -
ลาก่อน... สตราร์สบูรก์ แล้วพบกันใหม่ ^_^

  หน้าถัดไป : ความประทับใจ  

ท่องเที่ยวฝรั่งเศส หน้า 1 : รู้จักฝรั่งเศส | 2 : สวัสดีสตาร์สบูร์ก| 3 : เรื่องเล่าจากครอบครัวมด | 4 : ความประทับใจ